top of page
Featured Posts

What Happened? กับการเมืองสหรัฐที่แม้แต่ Hillary Clinton ก็ไม่รู้

(Photo: AP)

ต้องยอมรับว่าการเลือกตั้งในปี 2016 ที่ผ่านมาของสหรัฐเป็นการช็อคโลกพอๆกับ Brexit ของสหราชอาณาจักร บางคนก็เรียกปรากฏการณ์นี้ว่าการฟื้นคืนอำนาจของความคิดอนุรักษ์นิยม แต่จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องของฝั่งซ้ายและฝั่งขวาจริงๆหรือ? หรือว่าแท้จริงแล้วมันมีมากกว่านั้น?

ในกรณีของสหรัฐอเมริกานั้นต้องเรียกได้ว่า Donald Trump มาแบบเหนือคาด ชนิดที่ว่าเหนือผล Exit Poll ทุกขนาน เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาสื่อในสหรัฐต่างแตกตื่นเพราะไม่คิดว่า Donald Trump จะได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐแทน Hillary Clinton ผู้ที่มีประสบการณ์บนเส้นทางการเมืองมาอย่างโชกโชน อะไรทำให้คนอเมริกันเลือกTrumpมากกว่า แน่นอนว่าชัยชนะของTrumpไม่ได้ได้มาจาก Popular Vote หมายความว่าTrumpไม่ได้ชนะเสียงข้างมาก แต่Trumpชนะเพราะ Electoral College ระบบที่ทำให้การเลือกตั้งของทั้งอเมริกามีความสมดุลกัน เพื่อป้องกันไม่ให้รัฐใดรัฐหนึ่งที่มีประชากรมากกว่ามีเสียงเหนือกว่ารัฐที่มีประชากรน้อยกว่าและนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สหรัฐอเมริกาได้ประธานาธิบดีมาจากระบบนี้ ตัวอย่างมีเห็นได้จาก Bush กับ Al Gore ในปี 2000

อเมริกาก็เหมือนทุกประเทศบนโลกใบนี้ที่มีปัญหาภายใน การเมืองที่แบ่งฝ่ายชัดเจนระหว่าง Democrat และ Republican โดยเฉพาะในสภา อันเป็นปัญหาเรื่อรังที่ทำให้ประธานาธิบดีอย่าง Barack Obama บริหารงานได้ยากยิ่ง เพราะในสภาของสหรัฐนั้นมีสมาชิกสภาที่เป็น Republican มากกว่าทำให้นโยบายของ Obama เข็นให้สำเร็จถึงฝั่งฝันได้ยากนัก ซึ่งนั่นทำให้คนเสื่อมศรัทธากับพรรค Democrat เพราะสัญญาว่า “Change” แต่ก็ไม่ Change มาสองสมัยรวดแล้ว

ทีนี้เรามาพูดถึงตัวละครหลักอย่าง Hillary Clinton กันบ้าง แรกเริ่มเดิมทีหากมองแค่เปลือกนอก Hillary Clinton ถือเป็นผู้เล่นหลักที่เพียบพร้อม เธอเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งมาก่อน มีประสบการณ์ทางการเมืองมามาก คนทั่วโลกรู้จักเธอดี เธอเข้าใจถึงความซับซ้อนทางระบบราชการและการเมืองของสหรัฐอย่างมาก ไม่มีใครเหมาะสมกับตำแหน่งประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐได้มากเท่ากับเธออีกแล้ว แต่... ภาพลักษณ์เหล่านี้ที่คนทั่วโลกเห็นนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนในสหรัฐเห็น คนในสหรัฐเห็นเธอเป็นนักการเมืองหญิงแก่ที่มีเล่ห์เหลี่ยม เชื่อถือไม่ได้ ไม่ได้ต่างอะไรจากนักการเมืองที่เคยฉ้อฉลต่อพวกเขา นอกจากนั้นเธอยังไม่สามารถเข้าถึงฐานเสียงวัยรุ่นได้เลย สำหรับวัยรุ่นหรือ Millennials นั้นเธอก็เป็นเหมือนคุณย่าแก่ๆคนหนึ่งที่เปลือกนอกอาจจะฟังดูเหมือนพวกเสรีนิยมเห็นแก่ประชาชน แต่จริงๆแล้วสมองและความคิดของเธอนั้นเป็นอนุรักษ์นิยมโดยแท้

ทำไมคนถึงคิดกับ Hillary ในแง่ร้ายขนาดนี้ ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าเธอได้รับพื้นที่สื่อมาอย่างยาวนาน ภาพลักษณ์นักการเมืองของเธอเป็นที่ติดตาประชาชน รวมไปถึงเส้นสายของเธอที่มีกับพวก Wall Street ซึ่งคนส่วนมากในอเมริกามองว่ากลุ่มคนที่อยู่ใน Wall Street ล้วนอยู่เบื้องหลังความทุกข์ยากของพวกเขาทางด้านเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติทางการเงินเมื่อปี 2007-2008 ที่รู้จักกันดีในนาม “Subprime Crisis” นั่นเอง พวกเขาจึงไม่เชื่อใจเธอและยิ่งการบริหารงานของ Obama ไม่ได้พาพวกเขาไปถึงการเปลี่ยนแปลงที่สัญญาเอาไว้ มันยิ่งส่งผลให้คนเริ่มมองหาทางเลือกอื่น ทางเลือกที่แปลกใหม่ ทางเลือกที่มาในรูปของ Donald Trump

(Photo: Vox.com)

นับตั้งแต่วันที่ Hillary Clinton พ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง เธอได้ตั้งใจเขียนหนังสือที่มีชื่อว่า “What Happened” เพื่อสะท้อนถึงมุมมองของเธอที่มีต่อการเลือกตั้งในปี 2016 นั่นเอง ในหนังสือของเธอได้พูดถึงเรื่องราวหลากหลายอย่าง แต่ใจความของเธอนั้นยังคงสะท้อนถึงความคิดที่ว่าอเมริกานั้นอาจจะเป็นประเทศที่เหยียดเพศมากกว่าที่เราคิดไว้ ซึ่งผู้เขียนเองก็เคยคิดเช่นนั้นเช่นกัน ในการโปรโมทหนังสือเล่มนี้ Hillary Clinton ย้ำนักย้ำหนาว่าปัจจัยหนึ่งที่เธอพ่ายแพ้ต่อ Donald Trump เพราะเธอเป็นผู้หญิง เธออ้างถึงงานวิจัยว่าคนในสหรัฐย่อมยินดีเมื่อผู้ชายในสังคมนั้นๆประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่เมื่อเป็นผู้หญิงแล้วจะมีปฏิกิริยาต่างไป สิ่งที่สะท้อนชัดมากที่สุดก็คือการที่เธอได้ทำงานเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ เมื่อเธอทำงานเพื่อส่วนรวม คนกลับรับได้ แต่เมื่อเธอลงสมัครเป็นประธานาธิบดี คนกลับมองว่าเธอทำเพื่อตนเองมากกว่าส่วนรวมไปเสียอย่างงั้น นอกจากนั้นเธอยังโทษ James Comey ที่ออกมาพูดเรื่อง E-mail ของเธอในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเลือกตั้งและพูดถึงการแทรกแซงของรัสเซียอีกด้วย ทั้งนี้การออกมาพูดของ Hillary Clinton ก็ทำให้คนหมู่มากมองว่าเธอยังไม่ยอมรับผิดมากพอว่าที่เธอแพ้นั้น...เป็นเพราะตัวเธอเอง

แต่การเลือกตั้งสหรัฐไม่ได้มีความซับซ้อนแค่นั้น ตลอดการหาเสียงของ Hillary และ Trump กลับมีเรื่องอื้อฉาวอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นเทปของ Access Hollywood ที่เผยว่า Donald Trump พูดจะละลาบละล้วงผู้หญิงอย่างน่าไม่อาย ไปจนถึงเรื่อง E-mail ของ Hillary ที่เหมือนโดนสกัดดาวรุ่งเพราะ James Comey แห่ง FBI ออกมาแถลงว่ามีความคืบหน้าในการสืบสวนสอบสวน เหล่านี้ล้วนทำให้การเลือกตั้ง 2016 ถูกจับตามองมากที่สุดและเรียกได้ว่าเป็นการหาเสียงที่มีการพูดถึงนโยบายน้อยที่สุดก็ว่าได้...

อย่างไรก็ตามไม่ว่า Hillary จะออกมาพูดเกี่ยวกับเลือกตั้งปี 2016 มากเพียงใด มันก็เปลี่ยนความจริงที่คนอเมริกันได้เลือก Donald Trump เข้าไปในทำเนียบขาวไม่ได้และความเป็นจริงที่ว่าเธอไม่เป็นที่ชื่นชอบของประชากรส่วนหนึ่งของประเทศ แต่อะไรที่สร้างความอัดอั้นตันใจให้แก่ประชากรของสหรัฐอเมริกาที่เลือก Trump เหตุผลมันก็มีหลากหลายประการ ไม่ใช่ว่าทุกคนไม่รู้ว่าเขาเป็นคนปากเสีย...และชอบทวีตอะไรประหลาดๆ สิ่งเหล่านั้นไม่สำคัญกับ Trump Supporter เลย สิ่งที่ทำให้ Trump ถูกเลือกนั้น คือความกลัว

ความกลัว อันเป็นสิ่งที่ทั่วโลกเผชิญนับตั้งแต่วินาศกรรม 11 กันยายน ในปี 2001 โลกได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง การก่อการร้ายที่มีมาอย่างต่อเนื่อง สงครามที่ยืดเยื้อทั้งในอิรักและอัฟกานิสถาน ทำให้คนอเมริกากลับเข้าสู่โหมดความคิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 นั่นก็คืออเมริกามาก่อน ทั้งนี้พฤติกรรมของคนเราก็เปลี่ยนไปมากเช่นกันนับตั้งแต่มีอินเตอร์เน็ต เราต้องการความรวดเร็ว ต้องการให้ปัญหาถูกแก้ไขในทันทีโดยลืมไปเสียสนิทว่าการเมืองและรัฐบาลส่วนใหญ่ในโลกนั้น มักเดินช้าและล้าหลังกว่าสังคมเสมอ เราลืมไปว่าในระบบการเมืองและราชการนั้นมีความซับซ้อนเกินกว่าแค่ Click เดียวก็แก้ไขได้ เพราะเราแก้ปัญหาชีวิตประจำวันกันแบบนั้น รถติดเราก็แค่สั่งอาหารผ่าน Application ให้มาส่งได้ หรือ เราอยากรู้อะไร เราก็แค่กด Google หาดูก็ได้ข้อมูลแล้ว มันทำให้เราคิดว่าปัญหาทุกอย่างในโลกสามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว (อ่านเพิ่มเติม : The God of Quick and Easy พระเจ้าที่มากับความเร็วและง่าย) แต่มันใช้เวลาและใช้คนมากกว่าที่คิดไว้เสมอ นี่เป็นสิ่งที่ Trump กำลังเผชิญ

Donald Trump สัญญากับประชาชนไว้ว่าเขาจะ Drain the swamp หรือดูดน้ำเสียทิ้ง ไปจากการเมืองสหรัฐ แต่เขากลับไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวกับมันเลย อันที่จริงนโยบายที่เขาสัญญาเอาไว้ผลักดันให้เป็นจริงได้ยากมากกว่าเขาคิดเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น Travel Ban หรือที่รู้จักกันดีในนาม Muslim Ban เขาก็ไม่สามารถผลักดันให้ใช้ออกมาได้ เพราะติดคำสั่งศาล ทำไมเขาถึงแก้ปัญหาดั่งใจนึกไม่ได้ นั่นก็เพราะเขาไม่ได้เรียนรู้กฎ กติกาในการเล่นการเมืองสหรัฐนั่นเอง ก็เหมือนกับคำพูดที่ว่า “หากคุณจะเปลี่ยนแปลงอะไร คุณต้องรู้กฎของสิ่งนั้นให้ดีเสียก่อน” Trump ไม่พยายามแม้แต่จะเข้าใจแต่เขายังพยายามจะบริหารสหรัฐอเมริกาให้เหมือนกับบริษัทของเขาเอง ด้วยการเริ่มตัดงบประมาณและยังทิ้งบางตำแหน่งสำคัญให้ว่างเอาไว้ โดยไม่คำนึงเลยว่าการที่ตำแหน่งเหล่านั้นยังว่างอยู่ทำให้เกิดปัญหาใน Chain of Command หรือขั้นลำดับในการทำงานของระบบราชการนั่นเอง

นอกจากนี้ Trump ยังไม่เห็นค่าของความสำคัญในการทูต อย่างที่เราได้เห็นในการโต้ตอบกับเกาหลีเหนือ เขามองว่าการเจรจากับเกาหลีเหนือเป็นเรื่องไร้สาระ ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วนี่เป็นนโยบายที่ทางสหรัฐใช้มามากกว่า 25 ปี ซึ่งการเปิดศึกกับเกาหลีเหนือ หากเกิดขึ้นจริงนี่อาจเป็นชนวนสงครามโลกครั้งที่ 3 ก็เป็นได้และบทบาทในการเป็น Key Stone ของโลกกับ United Nations อาจจะจบลงในยุคสมัยของ Trump

ทว่าการเป็นประธานาธิบดีของ Donald Trump อาจจะหยุดลงด้วยการถอดถอน หากการสืบสวนที่นำโดย Robert Mueller ได้ข้อสรุปว่า Donald Trump และพวกพ้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับรัสเซียในการแทรกแซงการเลือกตั้งในปีที่ผ่านมา แต่กว่าจะถึงวันนั้นเราคงต้องภาวนาให้ Donald Trump มีสติและเข้าใจการเมืองสหรัฐกับโลกให้เร็วกว่านี้ หรือไม่เราอาจจะได้มีประสบการณ์โดยตรงกับสงครามโลกครั้งที่ 3 โดยที่เราไม่อยากจะเห็นก็เป็นได้

อย่างไรก็ดีการออกมาพูดโปรโมทหนังสือของ Hillary Clintonในครั้งนี้ก็ทำให้ผู้เขียนอดสงสัยไม่ได้จริงๆว่า...เมื่อไหร่เพดานกระจกหรือ Glass Ceiling ของอเมริกาจะแตกเสียทีและเมื่อไหร่กันที่อเมริกาจะมีประธานาธิบดีหญิงที่ฉลาด เพียบพร้อมกับหน้าที่อันหนักอึ้งนี้ ผู้เขียนก็ได้แต่หวังว่าหากวันนั้นมาถึงผู้หญิงจะได้รับความเท่าเทียมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในที่ทำงานหรือแม้แต่ฐานเงินเดือน

(Created by: J.R. Moody on Twitter)

(คนเขียนแอบเชียร์ให้ Michelle Obama ลงสมัครนะคะ อยากเห็นประธานาธิบดีหญิงผิวสีคนแรกในคราวเดียวกันไปเลย ฮิ ฮิ)

Recent Posts
Archive
Search By Tags
No tags yet.
Follow Us
  • Facebook Basic Square
  • Twitter Basic Square
  • Google+ Basic Square
bottom of page